การปรับปรุงอาคารเดิมเป็นอาคารเขียว
อาคารถือได้ว่าเป็นสาเหตุสำคัญของปัญหาทางพลังงานและสิ่งแวดล้อม เนื่องจากอาคารมีการใช้พลังงานไปกับ Chiller Pump Cooling Tower Air-handing Unit หลอดไฟ ฯลฯ สถาบันอาคารเขียวไทยจึงได้จัดทำเกณฑ์การประเมินความยั่งยืนทางพลังงานและสิ่งแวดล้อมไทย หรือ TREES (Thai’s Rating of Energy and Environmental Sustainability)ขึ้น เพื่อส่งเสริมให้อาคารต่างๆ ก้าวสู่อาคารอนุรักษ์พลังงานและสิ่งแวดล้อมหรือที่เรียกกันว่า “อาคารเขียว” โดยใช้เกณฑ์ประเมิน TREES-EB (Existing Building: Operation and Maintenance) ซึ่งเป็นเกณฑ์ที่มุ่งเน้นสำหรับอาคารที่มีการใช้งานจริงมาแล้วหรือก็คืออาคารที่มีอยู่เดิมนั่นเอง
ประโยชน์ที่ได้รับจากการได้รับรองเป็นอาคารเขียว
1. ประหยัดพลังงาน
เนื่องจากการได้รับการรับรองว่าเป็นอาคารเขียว ต้องมีการใช้พลังงานต่ำกว่าเกณฑ์ที่กำหนดไว้ จึงทำให้อาคารที่ได้ชื่อว่าอาคารเขียวนั้นประหยัดพลังงานมากกว่าอาคารทั่วไป
2. ส่งเสริมคุณภาพชีวิตของผู้ใช้อาคาร
อาคารเขียวต้องมีการควบคุมปริมาณอากาศระบาย (Ventilation) ให้ได้ตามมาตรฐาน ASHRAE และ มีการส่งผลตรวจเชื้อลีจิเนลลาของ Cooling Tower ดังนั้นคุณภาพอากาศภายในอาคารเขียวจึงเป็นไปตามมาตรฐาน ผู้ใช้อาคารจึงมีคุณภาพชีวิตที่ดี
3. เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
การใช้พลังงานที่น้อยลงย่อมให้ผลดีต่อสิ่งแวดล้อมอยู่แล้ว แต่ทั้งนี้อาคารเขียวมีคะแนนให้อาคารที่ไม่มีการใช้สารทำความเย็นประเภท CFC ส่งผลให้ไม่มีการทำลายชั้นโอโซน นอกจากนี้อาคารเขียวยังต้องส่งผลตรวจระบบบำบัดน้ำเสียให้เป็นตามกฎหมายอีกด้วย
4. สร้างชื่อเสียงให้แก่อาคารและองค์กร
การได้รับรองเป็นอาคารเขียว นั่นหมายถึงอาคารแห่งนี้เป็นอาคารอนุรักษ์พลังงานและสิ่งแวดล้อม ทำให้ภาพลักษณ์ของอาคารดีขึ้น
เมื่อทราบกันแล้วว่าการปรับปรุงอาคารเดิมให้เป็นอาคารเขียว ได้ประโยชน์มากมาย เรามาศึกษาวิธีกันดีกว่าว่า
การปรับปรุงอาคารเดิมเป็นอาคารเขียว (TREES-EB) ทำอย่างไร ?
เกณฑ์ขั้นต่ำในการเข้าประเมินเป็นอาคารเขียว (TREES-EB)
1. ต้องเป็นอาคารที่ถูกต้องตามกฎหมาย
2. ต้องเป็นอาคารถาวรที่เคลื่อนย้ายไม่ได้
3. มีพื้นที่ขอบเขตของโครงการชัดเจน
4. มีพื้นที่ใช้สอยภายในอาคารไม่น้อยกว่า 100 ตารางเมตร
5. ต้องมีผู้ใช้อาคารประจำอย่างน้อย 1 คน
6. ขนาดพื้นที่ใช้สอยภายในอาคารต้องไม่น้อยกว่า 5% ของพื้นที่ดินโครงการ
7. เกณฑ์ TREE-EB ไม่เหมาะสำหรับบ้านพักอาศัยหรืออาคารพักอาศัยที่มีขนาดน้อยกว่า 3 ชั้น
8. ต้องเป็นอาคารที่มีการใช้งานมาแล้วอย่างน้อย 1 ปี และมีการเข้าใช้งานอย่างน้อย 50% ของพิกัด
ระดับของอาคารเขียว(TREES-EB)
มี 4 ระดับ ด้วยกัน แต่ละระดับก็จะมีคะแนนที่แตกต่างกัน นั่นหมายความว่าอาคารสามารถเลือกทำเฉพาะคะแนนที่เหมาะกับอาคารตัวเองได้
สัดส่วนคะแนนเกณฑ์ประเมินอาคารเขียว(TREES-EB) ในแต่ละหมวด เป็นดังตารางด้านล่าง
หลักสำคัญในการทำคะแนนของเกณฑ์ประเมินอาคารเขียวแต่ละหมวด
หมวด 1 : การบริหารจัดการอาคาร 6 คะแนน (Building Management, BM)
- ประชาสัมพันธ์โครงการพัฒนาอาคารเดิมให้เป็นอาคารเขียวแก่สาธารณะชนทราบ เช่น ติดป้าย ทำแผ่นพับ ลงเว็บไซต์ เป็นต้น
- จัดทำคู่มือการใช้งานวิศวกรรมระบบได้แก่ ระบบปรับอากาศ ระบบประปา ระบบไฟฟ้าแสงสว่าง ฯลฯ
- ประชุมติดตามการดำเนินโครงการอย่างต่อเนื่อง
หมวด 2 : ผังบริเวณและภูมิทัศน์ 17 คะแนน (Site & Landscape, SL)
- มีสาธารณูปโภครอบอาคารเพียงพอ เช่น การไฟฟ้า การประปา องค์การโทรศัพท์ เพื่อให้ผู้ใช้อาคารได้รับความสะดวกสบายจากการเดินทาง
- สามารถลดการใช้รถยนต์ส่วนตัวของผู้ใช้อาคารได้มากน้อยเพียงใด หากพื้นที่อาคารอยู่ใกล้ระบบขนส่งสาธารณะ ก็สามารถลดจำนวนเที่ยวที่ใช้รถยนต์ส่วนตัวได้มาก
- จัดทำพื้นที่สีเขียวภายในพื้นที่โครงการ
- มีการหน่วงน้ำเมื่อฝนตก ก่อนจะปล่อยสู่ทางระบายน้ำสาธารณะ
- จัดทำคู่มือการดูแลภูมิทัศน์อย่างปลอดภัยต่อมนุษย์
หมวดที่ 3 : การประหยัดน้ำ 8 คะแนน (Water Conservation, WC)
- ออกนโยบายการใช้น้ำอย่างประหยัด
- ลดการใช้น้ำของสุขภัณฑ์โดยเลือกใช้สุขภัณฑ์ที่ได้ผ่านการรับรองว่าประหยัดน้ำ
- มีการติดตั้งมาตรวัดน้ำแบบดิจิตอลเพื่อตรวจติดตามการใช้น้ำ
หมวดที่ 4 : พลังงานและบรรยากาศ 27 คะแนน (Energy & Atmosphere, EA)
หมวดนี้เป็นหมวดที่คะแนนสูงสุด ซึ่งแสดงให้เห็นว่าอาคารเขียวให้ความสำคัญในด้านพลังงานมาก หลักสำคัญในการทำคะแนนหมวดนี้คือ
- จัดทำมาตรการประหยัดพลังงาน
- มีการใช้พลังงานทดแทน
- ยกเลิกการใช้สารทำความเย็นประเภท CFC
- มีระบบบริหารจัดการอาคาร (Building Management System)
- การใช้พลังงานของอาคารต่ำกว่าเกณฑ์มาตรฐานของ Energy Star
หมวดที่ 5 : วัสดุและทรัพยากรธรรมชาติ 17 คะแนน (Materials & Resources, MR)
- ออกนโยบายการจัดซื้อและจัดการขยะที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
- อาคารให้ความใส่ใจต่อการจัดซื้อสินค้าอุปโกค เครื่องใช้ไฟฟ้า และเฟอร์นิเจอร์ โดยใช้วัสดุที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
- กำจัดขยะจากสินค้าอุปโกค เครื่องใช้ไฟฟ้า และเฟอร์นิเจอร์ อย่างถูกหลักวิธี
หมวดที่ 6 : คุณภาพของสภาพแวดล้อมภายในอาคาร 14 คะแนน (Indoor Environmental Quality, IE)
- มีการคำนวณปริมาณอากาศระบาย(Ventilation) ตามมาตรฐาน ASHRAE
- ระบบระบายอากาศ(Ventilation System) สามารถใช้งานได้
- ดำเนินการตรวจวัดปริมาณอากาศระบายทั้งอาคาร
- สำรวจความพึงพอใจของผู้ใช้อาคาร
- ติดตั้งระบบควบคุมแสงสว่าง ทุกพื้นที่ 250 ตารางเมตร
หมวดที่ 7 : การป้องกันผลกระทบต่อสิ่งแวด้อม 15 คะแนน (Environment Protection, EP)
- ไม่ใช้สารประเภท CFC และสารฮาลอนในระบบดับเพลิง
- ตำแหน่งติดตั้ง CDU เหมาะสม ไม่เป่าอากาศร้อนใส่พื้นที่ข้างเคียงในระยะ 7 เมตร
- กระจกภายนอกอาคารมีค่าสะท้อนแสงไม่เกิน 15%
- ผลตรวจคุณภาพระบบบำบัดน้ำเสียผ่านเกณฑ์กฎหมาย
- ผลตรวจเชื้อลีจิเนลลาของระบบน้ำใน Cooling Tower ผ่านเกณฑ์กฎหมาย
หมวดที่ 8 : นวัตกรรม 6 คะแนน (Green Innovation, GI)
- ดำเนินการตามหมวด 1-7 ได้ดีกว่าเกณฑ์ที่กำหนดไว้ จะได้รับคะแนนพิเศษ [ 5 คะแนน ]
- มีผู้เชี่ยวชาญอาคารเขียวในโครงการ [ 1 คะแนน ]
รูปที่ 1 ใบรับรองการเป็นผู้เชี่ยวชาญอาคารเขียว
จะเห็นว่าการปรับปรุงอาคารเดิมเป็นอาคารเขียว ไม่ยุ่งยากอย่างที่คิด เนื่องจากมีคะแนนหลายหมวดให้เลือกทำ แต่อย่างไรก็ตามสิ่งที่แน่ชัดคือ “ระดับอาคารเขียวยิ่งสูง ยิ่งต้องลงทุนมาก” ดังนั้นเจ้าของอาคารต้องวิเคราะห์ผลตอบแทนทางเศรษฐศาสตร์ทั้งเงินลงทุนและผลตอบแทนจากการประหยัดพลังงาน เพื่อหาจุดสมดุลในการการดำเนินโครงการ
ทั้งนี้หากต้องการให้ ZERO ENERGY เข้าไปสำรวจอาคารของท่าน เพื่อประเมินเบื้องต้นถึงความคุ้มค่าในการลงทุนจากการปรับปรุงอาคารที่มีอยู่เดิมเป็นอาคารอนุรักษ์พลังงานและสิ่งแวดล้อม(อาคารเขียว) สามารถดูรายละเอียดได้ที่เมนู “บริการของเรา” เลือกหัวข้อ “ออกแบบอาคารอนุรักษ์พลังงาน” หรือสนใจให้ ZERO ENERGY เข้าไปอบรมหลักสูตรการอนุรักษ์พลังงานในองค์กรของท่าน สามารถดูรายละเอียดได้ที่เมนู “บริการของเรา” เลือกหัวข้อ “อบรมอนุรักษ์พลังงาน”